กลุ่มอสังหาฯชี้คอนโดแผ่วหันบุกเจาะตลาด'แนวราบ'
(06 มีนาคม 2015)
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รับตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัว หลังซัพพลายล้นช่วง 2-3 ปีก่อน เพอร์เฟคชี้แค่ระยะสั้น
วางนโยบายปีนี้เน้นเจาะบ้านเดี่ยวไฮเอนด์รับความต้องการซื้อเพิ่มตั้งเป้ารายได้จากแนวราบ1หมื่นล้านบาทจากทั้งหมด1.76หมื่นล้านบาทด้าน‘แอลพีเอ็น’เชื่อคอนโดโตช้าลงคาดปีนี้โดเปิดใหม่8หมื่นยูนิตจากปีก่อน7.8หมื่นยูนิตมั่นใจรายได้ปีนี้โต36%ตามเป้าแตะ1.6หมื่นล้านบาท
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้นๆล่าสุดบรรดาผู้ประกอบการในกลุ่มคอนโดมิเนียมออมายอมรับว่าตลาดคอนโดมิเนียมปีนี้เริ่มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้นๆล่าสุดบรรดาผู้ประกอบการในกลุ่มคอนโดมิเนียมออกมายอมรับว่าตลาดคอนโดมิเนียมปีนี้เริ่มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด
นายธีรธัชช์สิงห์ณรงค์ธรผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุนบริษัทพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟคจำกัด (มหาชน) PF เปิดเผยว่าในปีนี้ความต้องการซื้อของตลาดคอนโดมิเนียมน่าจะชะลอตัวลงเนื่องจากในช่วง2-3ปีที่ผ่านมามีความต้องการขายเข้ามาอย่างมากทำให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไม่ทันแต่ทั้งนี้บริษัทมองว่าภาวะดังกล่าวจะเป็นเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้นหากความต้องการขายลดลงจนเข้าสู่จุดสมดุลแล้วตลาดคอนโดมิเนียมน่าจะสามารถเติบโตต่อได้ในระดับปกติ
“แม้ในปีนี้หลายฝ่ายจะมองว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะชะลอตัวลงแต่โดยรวมก็ยังสามารถเติบโตได้เพียงแค่จะเติบโตในอัตราที่ลดลงแต่ทั้งนี้หากภาวะโอเวอร์ซัพพลายหมดไปตลาดคอนโดมิเนียมก็จะเติบโตต่อได้เพราะปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงจากบ้านเดี่ยวไปสู่คอนโดมิเนียมมากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้ามาสู่ตลาดนี้มากยิ่งขึ้นทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าซื้อบริษัทแกรนด์แอสเสทโฮเทลส์แอนด์พรอพเพอร์ตี้จำกัด(มหาชน) หรือGRAND ซึ่งจะเน้นการสร้างคอนโดมิเนียมแบบซีบีดี”นายธีรธัชช์กล่าว
เพอร์เฟคเน้นแนวราบระดับบน
สำหรับปีนี้บริษัทจะเน้นเจาะตลาดแนวราบเป็นหลักโดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังคงมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องและที่สำคัญคือไม่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในช่วงนี้ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น24โครงการรวมมูลค่า29,500ล้านบาทเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์20โครงการมูลค่า25,000ล้านบาทคอนโดมิเนียม3โครงการมูลค่า3,000ล้านบาทและโครงการต่างจังหวัด1โครงการมูลค่า1,500ล้านบาท
“ในปีนี้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาเป็นบ้านเดี่ยวมากขึ้นหลังจากที่การขยายของรถไฟฟ้าเริ่มครอบคลุมมากยิ่งขึ้นประกอบกับราคาคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้นมากในปัจจุบันฉะนั้นในปีนี้บริษัทจะเน้นเจาะตลาดแนวราบซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่แล้วโดยบริษัทตั้งเป้ารายได้จากแนวราบ10,000ล้านบาทจากรายได้ทั้งหมด17,600ล้านบาทส่วนในระยะยาวบริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากแนวราบและแนวสูงน่าจะใกล้เคียงกันเพราะโดยปกติแล้วตลาดคอนโดมิเนียมจะเติบโตสูงกว่าบ้านเดี่ยว”นายธีรธัชช์กล่าว
หวังอุตฯอสังหาปีนี้ดีขึ้น
ส่วนของภาพรวมอุตสาหกรรมในปีนี้น่าจะดีขึ้นแต่ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องว่าจะเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่ซึ่งในช่วง2เดือนที่ผ่านมาความเชื่อเริ่มดีขึ้นแต่ยังไม่ชัดเจนมากนักแต่ทั้งนี้ยังส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นถึง30%เป็น1,700ล้านบาทหากเทียบกับรายได้ช่วงเดียวกันของปีก่อนที่1,300ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ทั้งสิ้น5,825ล้านบาทโดยจะรับรู้ในปีนี้2,682ล้านบาทแบ่งเป็นโครงการแนวราบ576ล้านบาทและคอนโดมิเนียม2,106ล้านบาทส่วนที่เหลืออีก3,142ล้านบาทจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ปี2559ในส่วนของที่ดินเปล่าปัจจุบันมีอยู่ประมาณ1,600ไร่คาดปีนี้จะแบ่งขายออกไป1แปลงมูลค่า900ล้านบาทขณะที่ปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินเพิ่ม2,000 - 2,500ล้านบาท
แอลพีเอ็นรับคอนโดฯโตน้อยลง
ด้านนายโอภาสศรีพยัคฆ์กรรมการผู้จัดการบริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือLPN เปิดเผยว่าแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราเติบโตชะลอตัวแต่ยังเติบโตได้โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงเล็กน้อยโดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่80,000ยูนิตจากปีก่อนอยู่ที่78,000ยูนิตส่วนในปี2556อยู่ที่85,000ยูนิตซึ่งสาเหตุที่การเปิดตัวโครงการใหม่ๆค่อนข้างจะทรงตัวเป็นเพราะหลายบริษัทเริ่มเปลี่ยนมาทำโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น
“แม้หลายฝ่ายจะมีมุมมองต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ว่าความต้องการซื้อจะเปลี่ยนจากคอนโดมิเนียมมาเป็นแนวราบแต่จากประสบการณ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา15ปีบริษัทยังมองว่าความต้องการซื้อคอนโดมีเนียมจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและหากมองย้อนไปเมื่อปีที่แล้วซึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวคอนโดมิเนียมก็ยังเปิดตัวเพิ่มถึง78,000ยูนิต”นายโอภาสกล่าว
สำหรับภาพรวมในปีนี้ช่วงครึ่งแรกอาจจะไม่คึกคักมากนักตามทิศทางของเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวแต่อย่างไรก็ตามยังคงมีผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อจริงๆเข้ามาเยี่ยมชมโครงการต่อเนื่องส่วนช่วงครึ่งหลังของปีเชื่อว่าตลาดจะกลับมาคึกคักมากยิ่งขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศซึ่งบริษัทเองจะเริ่มเปิดตัวโครงการและทำการตลาดมากขึ้นในช่วงไตรมาส2หลังจากช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเปิดตัวไปเพียง1โครงการ
“บริษัทมั่นใจว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโต36%จากปีก่อนแตะ16,000ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้แม้รายได้ในไตรมาส1อาจเติบโตไม่ดีเท่าช่วงเดียวกันปีก่อนเนื่องจากมีโครงการเสร็จน้อยและสามารถโอนได้เพียง1โครงการจึงคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาประมาณ1,700 - 1,800ล้านบาทต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้2,000ล้านบาท”นายโอภาสกล่าว
คาดยอดปฏิเสธสินเชื่อไม่เกิน10%
นอกจากนี้คาดว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน10%ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มียอดปฏิเสธสินเชื่อ8-9%โดยบริษัทมีการบริหารจัดการลูกค้าโดยมีการตรวจสอบเอกสารทางการเงินก่อนที่ลูกค้าจะนำไปยื่นสถาบันการเงินทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อปีนี้จะดีขึ้น